งูเห่า (Cobra) สัตว์เลื้อยคลานที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันดีในฐานะสัญลักษณ์แห่งความน่าเกรงขามและอันตราย ภาพลักษณ์ของงูเห่าที่แผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อ พร้อมกับการพ่นพิษอันร้ายกาจ สร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษย์มาช้านาน พิษงูเห่า นับเป็นหนึ่งในพิษที่มีความซับซ้อนและอันตรายที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบต่อระบบประสาทที่รุนแรง สามารถนำไปสู่อัมพาตของกล้ามเนื้อ รวมถึงกล้ามเนื้อหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต
องค์ประกอบที่อันตรายในพิษงูเห่า
พิษงูเห่า เป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่ประกอบไปด้วยเอนไซม์ โปรตีน และสารประกอบอื่น ๆ ซึ่งแต่ละชนิดมีผลต่อร่างกายที่แตกต่างกันออกไป องค์ประกอบที่สำคัญและอันตรายที่สุดในพิษงูเห่า ได้แก่:
- Neurotoxins: สารพิษต่อระบบประสาท เป็นส่วนประกอบหลักที่พบในพิษงูเห่า Neurotoxins ออกฤทธิ์โดยการจับกับตัวรับ acetylcholine ที่อยู่บริเวณจุดเชื่อมต่อประสาทและกล้ามเนื้อ ส่งผลให้การส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อถูกยับยั้ง ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง และเป็นอัมพาตในที่สุด
- Cytotoxins: สารพิษต่อเซลล์ Cytotoxins มีผลทำลายเซลล์โดยตรง โดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อ ในบางกรณี อาจรุนแรงถึงขั้นต้องตัดอวัยวะ
- Cardiotoxins: สารพิษต่อหัวใจ Cardiotoxins ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้
อาการหลังโดนงูเห่ากัด
อาการหลังโดนงูเห่ากัด สามารถแสดงออกได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ชนิดของงูเห่า ปริมาณพิษที่ได้รับ ตำแหน่งที่ถูกกัด และสุขภาพของผู้ป่วย โดยทั่วไป อาการมักปรากฏขึ้นภายใน 15 นาที ถึง 2 ชั่วโมง หลังถูกกัด อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่:
อาการทั่วไป | อาการเฉพาะระบบ |
---|---|
วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ มีไข้ | หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดลำบาก กลืนลำบาก หายใจลำบาก สายตาพร่ามัว |
ในกรณีที่รุนแรง พิษงูเห่าสามารถทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อหายใจ ส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว
สถิติและข้อมูลน่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับพิษงูเห่า
- องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า แต่ละปี มีผู้ถูกงูกัดทั่วโลกกว่า 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากพิษงูประมาณ 81,000 – 138,000 คน
- งูเห่าอินเดีย (Indian Cobra) สามารถพ่นพิษได้ไกลถึง 2 เมตร โดยพิษจะเล็งไปที่ดวงตาของเหยื่อ เพื่อสร้างความระคายเคือง และทำให้มองไม่เห็น
- พิษงูเห่าเพียง 1 กรัม มีพิษร้ายแรงพอที่จะฆ่าคนได้มากกว่า 150 คน
การรักษาและการป้องกัน
การรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูเห่ากัด จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว โดยการปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด พยายามให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษ และห้ามกรีด ดูด หรือพอกแผล เนื่องจากอาจทำให้พิษแพร่กระจายได้เร็วขึ้น การรักษาหลักในโรงพยาบาล คือ การให้เซรุ่มแก้พิษงูเห่า ซึ่งผลิตขึ้นจากการฉีดพิษงูเห่าเข้าไปในสัตว์ เช่น ม้า เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เซรุ่มแก้พิษจะช่วยต่อต้านพิษงูเห่าในร่างกาย ป้องกันไม่ให้พิษทำลายเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ได้
การป้องกันตนเองจากงูเห่า ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่รกทึบ สวมรองเท้าบู๊ทยาว และสวมถุงมือหนา เมื่อต้องทำงานในบริเวณที่เสี่ยงต่อการถูกงูกัด นอกจากนี้ การให้ความรู้เกี่ยวกับงูเห่า และวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ยังเป็นสิ่งสำคัญในการลดความตื่นตระหนก และช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากพิษงูเห่าได้
**อ้างอิง:**
World Health Organization. (2022). Snakebite. https://www.who.int/news/item/05-05-2022-who-launches-first-official-guidelines-on-snakebite-envenoming
#งูเห่า #พิษงู #อัมพาต #เซรุ่มแก้พิษ