เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1877 Asaph Hall นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้ค้นพบดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวอังคาร ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า "โฟบอส" การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในวงการดาราศาสตร์ เพราะเป็นการยืนยันว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะก็มีดาวบริวารเช่นเดียวกับโลก การค้นพบโฟบอสเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักดาราศาสตร์ทั่วโลกต่างพยายามค้นหาดาวบริวารของดาวอังคาร และ Hall เองก็ใช้เวลานานหลายคืนในการสังเกตการณ์อย่างละเอียดผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาด 26 นิ้ว ณ หอดูดาวกองทัพเรือสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
การค้นพบโฟบอสไม่ใช่เรื่องง่าย Hall เกือบจะยอมแพ้ไปแล้วหลายครั้ง แต่ภรรยาของเขา Angelina Stickney Hall ได้ให้กำลังใจและสนับสนุนเขาให้ทำการค้นหาต่อ จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ เพียงไม่กี่วันหลังจากค้นพบโฟบอส Hall ก็ค้นพบดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งของดาวอังคาร ซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า "ดีมอส"
โฟบอส: ดวงจันทร์รูปทรงประหลาด
โฟบอสมีรูปร่างที่ไม่สมมาตร คล้ายกับมันฝรั่ง มีขนาดเล็กมาก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยเพียง 22.2 กิโลเมตร โคจรรอบดาวอังคารด้วยระยะห่างเพียง 6,000 กิโลเมตรจากพื้นผิว ซึ่งใกล้กว่าดาวบริวารอื่นๆ ในระบบสุริยะ ทำให้โฟบอสโคจรรอบดาวอังคารครบหนึ่งรอบได้เร็วมาก ใช้เวลาเพียง 7 ชั่วโมง 39 นาที เร็วกว่าการหมุนรอบตัวเองของดาวอังคารเสียอีก
อนาคตของโฟบอส
งานวิจัยระบุว่า โฟบอสกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาดาวอังคารในอัตรา 1.8 เซนติเมตรต่อปี นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายใน 50 ล้านปี โฟบอสอาจจะชนกับดาวอังคาร หรือไม่ก็แตกออกเป็นวงแหวนล้อมรอบดาวอังคาร คล้ายกับวงแหวนของดาวเสาร์
ตารางเปรียบเทียบโฟบอสและดีมอส
คุณสมบัติ | โฟบอส | ดีมอส |
---|---|---|
เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย (กม.) | 22.2 | 12.4 |
ระยะห่างจากดาวอังคาร (กม.) | 6,000 | 23,460 |
คาบการโคจร (วัน) | 0.32 | 1.26 |
Fun Fact
ชื่อ "โฟบอส" และ "ดีมอส" มาจากเทพเจ้ากรีก ซึ่งเป็นบุตรของเทพเจ้าแห่งสงคราม Ares (เทียบเท่ากับเทพเจ้า Mars ของโรมัน) โฟบอสแปลว่า "ความกลัว" ส่วนดีมอสแปลว่า "ความหวาดกลัว"
จากการค้นพบโฟบอส ทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบสุริยะ และวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ การศึกษาองค์ประกอบและวงโคจรของโฟบอสช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจประวัติศาสตร์ของดาวอังคารได้มากขึ้น และอาจช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับการกำเนิดของระบบสุริยะของเราได้ในอนาคต
#อวกาศ #ดาวอังคาร #ดวงจันทร์ #โฟบอส