การลงทุนในหุ้น ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เห็นได้จากจำนวนบัญชีนักลงทุนไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 พบว่ามีจำนวนบัญชีนักลงทุนรวมทั้งตลาดอยู่ที่ 5.87 ล้านบัญชี
อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนในตลาดหุ้นจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงเช่นเดียวกัน การลงทุนโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจ หรือขาดการวางแผนที่ดี อาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อเงินทุนของท่านได้ บทความนี้ จึงขอนำเสนอเทคนิคที่จะช่วยให้คุณลงทุนในหุ้นอย่างชาญฉลาด ย่อมเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน และลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้
1. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นอย่างละเอียด
ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นลงทุนในหุ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความเข้าใจพื้นฐานของตลาดหุ้นเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความหมายของหุ้น, ประเภทของหุ้น, ปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น, วิธีการวิเคราะห์หุ้นขั้นพื้นฐาน และวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งในปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลมากมายให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ง่าย อาทิเช่น
- เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
- หนังสือเกี่ยวกับการลงทุน
- คอร์สอบรมการลงทุน
การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการลงทุนอย่างใกล้ชิด
2. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการลงทุนให้ชัดเจน
การตั้งเป้าหมายในการลงทุน จะช่วยให้คุณสามารถเลือกกลยุทธ์ในการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะสั้นเพื่อหวังผลกำไรจากส่วนต่างของราคา หรือการลงทุนระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในอนาคต รวมไปถึงระดับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้
วัตถุประสงค์ | กรอบเวลา | ระดับความเสี่ยง |
---|---|---|
การเติบโตของเงินทุน | ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) | สูง - ปานกลาง |
สร้างรายได้ | ระยะกลาง - ระยะยาว (1 - 5 ปี) | ปานกลาง - ต่ำ |
รักษาเงินต้น | ระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) | ต่ำ |
จากตารางข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์ กรอบเวลาในการลงทุน และ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งนักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแผนการลงทุนของตนเอง
3. กระจายความเสี่ยง
“Don’t put all your eggs in one basket” เป็นสำนวนเปรียบเทียบที่สื่อความหมายได้อย่างดีถึง การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยนักลงทุนไม่ควรนำเงินลงทุนทั้งหมด ไปลงทุนในหุ้นตัวเดียว หรือ อุตสาหกรรมเดียว เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อาจส่งผลให้พอร์ตการลงทุนของคุณได้รับความเสียหายหนักได้
การกระจายความเสี่ยง สามารถทำได้หลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น
- เลือกหุ้นในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
- เลือกหุ้นที่มีขนาดของบริษัทแตกต่างกัน
- กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท จะช่วยลดความเสี่ยง และ ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้
4. ลงทุนอย่างมีวินัย
วินัยในการลงทุน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรศึกษาหาข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ ตัดสินใจลงทุนตามแผนที่วางไว้ รวมไปถึงควบคุมอารมณ์และความรู้สึก ไม่ให้มาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจลงทุน เพราะความผันผวนของราคาหุ้น อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดได้
หนึ่งในวิธีการลงทุนที่ช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดี คือ Dollar Cost Averaging (DCA) หรือ การลงทุนแบบถเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งเป็นการทยอยลงทุนเป็นงวด ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกเดือน โดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นในขณะนั้นจะสูงขึ้นหรือลดลง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นได้ และ ยังช่วยสร้างวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
5. อดทนและรอคอย
“การลงทุนเปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้” กว่าต้นไม้จะเติบโต ผลิดอกออกผล ย่อมต้องใช้เวลา การลงทุนก็เช่นเดียวกัน กว่าที่เงินลงทุนของเราจะงอกเงย สร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ ย่อมต้องใช้เวลาในการรอคอย
จากข้อมูลของ Charles Schwab บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา พบว่า ตลาดหุ้นในอดีตต้องเผชิญกับช่วงขาลง หรือ Bear Market โดยเฉลี่ย 1 ปี 7 เดือน ก่อนที่จะกลับมาเป็นขาขึ้น หรือ Bull Market ดังนั้น นักลงทุนควรอดทนและรอคอยให้ผลตอบแทนจากการลงทุนงอกเงย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
#การลงทุน #หุ้น #เทคนิคการลงทุน #DCA