27 มกราคม 2566

เมฆมีบทบาทอย่างไรในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน?

เมฆมีบทบาทอย่างไรในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน?

เมฆมีบทบาทอย่างไรในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน?

พายุเฮอริเคน เป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง เกิดขึ้นจากการก่อตัวของพายุฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่ เหนือน่านน้ำเขตร้อน บทบาทของเมฆมีความสำคัญอย่างยิ่งในการก่อตัวและเติบโตของพายุเฮอริเคน ตั้งแต่การให้กำเนิดพายุไปจนถึงการเติบโตเป็นพายุหมุนขนาดมหึมา บทความนี้จะพาไปสำรวจบทบาทของเมฆในการก่อตัวของพายุเฮอริเคนอย่างละเอียด

1. การก่อตัวของเมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus Clouds)

เริ่มต้นจากมวลอากาศร้อนและชื้นเหนือมหาสมุทร เมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูงกว่า 26.5 องศาเซลเซียส (80 องศาฟาเรนไฮต์) ความร้อนจากมหาสมุทรจะทำให้อากาศเหนือผิวน้ำร้อนขึ้น อากาศร้อนนี้ลอยตัวขึ้นสูง เกิดเป็นกระแสอากาศลอยตัวขึ้น (updrafts) เมื่ออากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น อุณหภูมิจะลดลง ทำให้น้ำในอากาศควบแน่น เกิดเป็นกลุ่มเมฆขนาดเล็ก

เมื่อกระแสอากาศลอยตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมฆขนาดเล็กเหล่านี้จะรวมตัวกันกลายเป็นเมฆขนาดใหญ่และหนาแน่นขึ้น เรียกว่า เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus Clouds) เมฆคิวมูโลนิมบัสเป็นเมฆฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นก้อนหนาทึบ ยอดเมฆแผ่ออกเป็นรูปร่างคล้ายทั่ง

2. การปลดปล่อยความร้อนแฝง (Latent Heat Release)

ภายในเมฆคิวมูโลนิมบัส ไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำและผลึกน้ำแข็ง กระบวนการควบแน่นนี้จะปลดปล่อยพลังงานความร้อนออกมา เรียกว่า ความร้อนแฝง (Latent Heat) ความร้อนแฝงที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะทำให้อากาศภายในเมฆอุ่นขึ้นและลอยตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นกระแสอากาศลอยตัวขึ้นที่ทรงพลัง

กระแสอากาศลอยตัวขึ้นที่ทรงพลังนี้จะดึงดูดอากาศร้อนและชื้นจากพื้นผิวมหาสมุทรเข้ามาเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบพายุได้รับพลังงานและความชื้นเพิ่มขึ้น เป็นวงจรการหมุนเวียนของอากาศที่ขับเคลื่อนการเติบโตของพายุเฮอริเคน

3. การหมุนวนของพายุ (Cyclonic Rotation)

ผลจากการหมุนของโลก หรือที่เรียกว่า ปรากฏการณ์โคริโอลิส (Coriolis Effect) ทำให้กระแสอากาศที่ไหลเข้าสู่ศูนย์กลางพายุ เกิดการเบี่ยงเบนไปทางขวาในซีกโลกเหนือ และเบี่ยงเบนไปทางซ้ายในซีกโลกใต้ การเบี่ยงเบนของกระแสอากาศนี้ก่อให้เกิดการหมุนวนรอบศูนย์กลางความกดอากาศต่ำ กลายเป็นพายุหมุน

เมื่อพายุหมุนทวีกำลังแรงขึ้น ความเร็วลมก็จะเพิ่มขึ้น กระแสอากาศลอยตัวขึ้นที่ทรงพลังภายในพายุจะดึงดูดอากาศชื้นจากพื้นผิวมหาสมุทรเข้ามาเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง ทำให้พายุหมุนเติบโตเป็นพายุเฮอริเคนในที่สุด

4. ตาพายุ (Eye) และ กำแพงตาพายุ (Eyewall)

เมื่อพายุเฮอริเคนเติบโตเต็มที่ จะเกิดบริเวณที่สงบและมีลมสงบอยู่ใจกลางพายุ เรียกว่า ตาพายุ (Eye) ตาพายุมีลักษณะเป็นวงกลม มีท้องฟ้าแจ่มใส ล้อมรอบด้วยวงแหวนของเมฆหนาทึบ เรียกว่า กำแพงตาพายุ (Eyewall)

กำแพงตาพายุเป็นบริเวณที่มีพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงที่สุด มีลมกระโชกแรงที่สุด และมีฝนตกหนักที่สุด ภายในกำแพงตาพายุ กระแสอากาศลอยตัวขึ้นที่ทรงพลังจะดึงดูดอากาศชื้นจากพื้นผิวมหาสมุทรเข้ามาเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง ทำให้พายุเฮอริเคนสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับพายุเฮอริเคน

  • พายุเฮอริเคนสามารถมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 1,600 กิโลเมตร (1,000 ไมล์)
  • พายุเฮอริเคนสามารถคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์
  • พายุเฮอริเคนสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล

บทสรุป

เมฆมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน ตั้งแต่การก่อตัวของเมฆคิวมูโลนิมบัส การปลดปล่อยความร้อนแฝง การหมุนวนของพายุ ไปจนถึงการก่อตัวของตาพายุและกำแพงตาพายุ

ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของเมฆในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์พายุเฮอริเคนให้มีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายและช่วยชีวิตผู้คนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้

#พายุเฮอริเคน #เมฆ #ภัยธรรมชาติ #วิทยาศาสตร์

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส