เมื่อเอ่ยถึงตะวันออกกลาง ภาพของบ่อน้ำมันที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และความมั่งคั่งมหาศาลจาก “ทองคำดำ” คงผุดขึ้นมาในความคิดของใครหลายคน ภูมิภาคนี้เปรียบเสมือนแหล่งกักเก็บน้ำมันดิบขนาดมหึมาของโลก โดยครอบครองปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วกว่า 60% อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางประเทศมหาอำนาจด้านพลังงานมากมาย กลับมีเยเมน ประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ที่ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เยเมนมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองน้อยที่สุดในภูมิภาค ทั้งที่ตั้งอยู่ในทำเลทองเช่นเดียวกัน? บทความนี้จะพาไปสำรวจปริศนาแห่งทรายดำนี้ พร้อมๆ กับเปิดมุมมองใหม่ที่อาจพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันออกกลาง
ปริมาณสำรองที่แตกต่าง
ข้อมูลจาก OPEC (Organization of the Petroleum Exporting Countries) ในปี 2020 ระบุว่า เยเมนมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วเพียง 3 พันล้านบาร์เรล เทียบกับซาอุดีอาระเบีย ผู้นำด้านพลังงานของภูมิภาค ที่มีปริมาณสำรองมากถึง 297.5 พันล้านบาร์เรล ความแตกต่างที่ชัดเจนนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตน้ำมันที่ต่างกันอย่างมหาศาล
ประเทศ | ปริมาณสำรองน้ำมันดิบ (พันล้านบาร์เรล) |
---|---|
ซาอุดีอาระเบีย | 297.5 |
อิหร่าน | 155.6 |
อิรัก | 145 |
คูเวต | 101.5 |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | 97.8 |
เยเมน | 3 |
ตารางข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เยเมนมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านในตะวันออกกลางอย่างมาก แต่คำถามคือ อะไรเป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำนี้?
ปัจจัยทางธรณีวิทยา: บทบาทของธรรมชาติ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดปริมาณสำรองน้ำมันดิบของประเทศคือ ลักษณะทางธรณีวิทยา การก่อตัวของน้ำมันดิบเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานับล้านปี โดยทั่วไป น้ำมันดิบมักก่อตัวในชั้นหินตะกอนที่มีอิน matéria อินทรีย์สูง ซึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งน้ำ เช่น ทะเลสาบ หรือทะเล เมื่อเวลาผ่านไป อินทรีย์วัตถุเหล่านี้จะถูกทับถมและสลายตัวภายใต้ความร้อนและแรงดันสูง จนกลายเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เรารู้จักกันในชื่อ “น้ำมันดิบ” นักธรณีวิทยาเชื่อว่า แม้เยเมนจะตั้งอยู่ในบริเวณตะวันออกกลาง แต่ลักษณะทางธรณีวิทยาของประเทศแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเยเมนมีความซับซ้อนและไม่เอื้อต่อการกักเก็บน้ำมันดิบมากนัก เมื่อเทียบกับแอ่งน้ำมันขนาดมหึมา เช่น แอ่งเปอร์เซีย ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย คูเวต และอิรัก
ประวัติศาสตร์การสำรวจและผลิต
การสำรวจและผลิตน้ำมันในเยเมนเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 และประสบความสำเร็จในการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบขนาดเล็กและขนาดกลางหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเยเมนยังคงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
- โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย: เยเมนขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่จำเป็น เช่น ท่อส่งน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายกำลังการผลิต
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง: สถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
- การขาดแคลนเทคโนโลยี: การสำรวจและผลิตน้ำมันในปัจจุบัน จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเยเมนยังขาดแคลน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตน้ำมันต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง
ผลกระทบและอนาคตของเยเมน
การที่เยเมนมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองน้อยที่สุดในภูมิภาค ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคม รายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมดของเยเมน และประมาณ 25% ของ GDP ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ การขาดแคลนทรัพยากรพลังงานยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น ระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน และการศึกษา ในอนาคต เยเมนจำเป็นต้องมุ่งเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันดิบ และสร้างความหลากหลายให้กับรายได้ของประเทศ การลงทุนในพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยว และการเกษตร จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับเยเมน
ปริศนาแห่งทรายดำในเยเมน สะท้อนให้เห็นว่า ทรัพยากรธรรมชาติเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความมั่งคั่งของประเทศ ปัจจัยด้านธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์ และการเมือง ล้วนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม คือกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับเยเมน และประเทศอื่นๆ ที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน
#เยเมน #น้ำมันดิบ #ตะวันออกกลาง #ทรัพยากรธรรมชาติ