23 มิถุนายน 2565

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง กับ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการในประชากรทั่วไป

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง กับ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการในประชากรทั่วไป

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง กับ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการในประชากรทั่วไป

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง กับ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการในประชากรทั่วไป ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (Dyslipidemia) เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลก ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง (Atherogenic Dyslipidemia) เป็นรูปแบบเฉพาะของภาวะไขมันในเลือดผิดปกติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างมาก ลักษณะเด่นของภาวะนี้คือระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ระดับ HDL cholesterol ต่ำ และมีอนุภาค LDL cholesterol ขนาดเล็กและหนาแน่น ซึ่งอนุภาคเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผนังหลอดเลือดแดงได้ง่าย นำไปสู่การอักเสบ การสะสมของคราบไขมัน และในที่สุดก็เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการ (Subclinical Myocardial Injury) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหาย แต่ไม่แสดงอาการทางคลินิกที่ชัดเจน สามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือดเพื่อหา biomarkers ของการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น high-sensitivity cardiac troponin T (hs-cTnT) ภาวะนี้บ่งชี้ถึงความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจในระยะเริ่มต้น และสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JCM, Vol. 13, Pages 4946 ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการในประชากรทั่วไป โดยทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 4,946 คน อายุเฉลี่ย 45 ปี โดยทำการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับไขมันในเลือดและ hs-cTnT

ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง มีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง และระดับ HDL cholesterol ต่ำ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับระดับ hs-cTnT ที่สูงขึ้น

ตารางด้านล่างแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไขมันในเลือดกับระดับ hs-cTnT:

ระดับไขมันในเลือด ระดับ hs-cTnT (ng/L)
ไตรกลีเซอไรด์ต่ำ (<150 mg/dL) 5.2
ไตรกลีเซอไรด์สูง (≥150 mg/dL) 7.8
HDL cholesterol สูง (≥60 mg/dL) 4.5
HDL cholesterol ต่ำ (<40 mg/dL) 8.2


**Fun Fact:** ทราบหรือไม่ว่า โรคหลอดเลือดหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 17.9 ล้านคนในแต่ละปี ซึ่งคิดเป็น 32% ของการเสียชีวิตทั้งหมดทั่วโลก (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก)

สรุปได้ว่า ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติแบบก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็ง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายแบบไม่แสดงอาการ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต ดังนั้น การตรวจคัดกรองภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ และการควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

**อ้างอิง** [JCM, Vol. 13, Pages 4946: Association between Atherogenic Dyslipidemia and Subclinical Myocardial Injury in the General Population](Link not available)

#โรคหัวใจ #ไขมันในเลือด #สุขภาพ #การแพทย์

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส