28 กันยายน 2564

อะไรคือความแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2?

อะไรคือความแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2?

อะไรคือความแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2?

เบาหวาน เป็นกลุ่มโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โรคเบาหวานมีอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดคือเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 แม้ว่าโรคเบาหวานทั้งสองชนิดจะมีอาการหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน แต่สาเหตุและวิธีการรักษากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บทความนี้จะกล่าวถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2

1. สาเหตุ

• เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น เบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดในเด็กและวัยรุ่น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ

• เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะแรก ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อชดเชยภาวะดื้ออินซูลิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตับอ่อนจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เบาหวานชนิดที่ 2 มักเกิดในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน

2. อาการ

อาการของโรคเบาหวานทั้งสองชนิดมีความคล้ายคลึงกัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ปัสสาวะบ่อย
  • กระหายน้ำบ่อย
  • หิวบ่อย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เหนื่อยง่าย
  • มองเห็นภาพไม่ชัด
  • แผลหายช้า
  • ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่มือหรือเท้า

อย่างไรก็ตาม อาการของเบาหวานชนิดที่ 1 มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อาการของเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะค่อยเป็นค่อยไป บางคนที่มีเบาหวานชนิดที่ 2 อาจไม่มีอาการใด ๆ เลย

3. การรักษา

• เบาหวานชนิดที่ 1 ต้องได้รับการรักษาด้วยอินซูลินตลอดชีวิต อินซูลินสามารถฉีดด้วยเข็มฉีดยา ปากกาฉีดอินซูลิน หรือเครื่องปั๊มอินซูลิน

• เบาหวานชนิดที่ 2 สามารถรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการลดน้ำหนัก บางคนอาจต้องใช้ยาหรืออินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

4. ภาวะแทรกซ้อน

โรคเบาหวานทั้งสองชนิดสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคไต
  • โรคทางตา เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา
  • โรคระบบประสาท เช่น โรคเส้นประสาทส่วนปลาย
  • แผลติดเชื้อ เช่น แผลที่เท้า

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ

• ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวานประมาณ 463 ล้านคน (ข้อมูลปี 2019) คาดการณ์ว่าภายในปี 2045 จะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านคน

• 90-95% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

สรุป

ลักษณะ เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 2
สาเหตุ ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้า ภาวะดื้ออินซูลิน
อายุที่พบได้บ่อย เด็กและวัยรุ่น ผู้ใหญ่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี)
การรักษา อินซูลินตลอดชีวิต การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ยา และอาจต้องใช้อินซูลิน

แม้ว่าโรคเบาหวานทั้งสองชนิดจะมีความแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน หากคุณมีอาการของโรคเบาหวาน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

#เบาหวาน #เบาหวานชนิดที่1 #เบาหวานชนิดที่2 #สุขภาพ

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส