สหรัฐฯ กับความแตกแยก: เมื่อรัฐฯ สีแดง ลุกขึ้นสู้กับโลก ในวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐฯ กับความแตกแยก: เมื่อรัฐฯ สีแดง ลุกขึ้นสู้กับโลก ในวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐฯ กับความแตกแยก: เมื่อรัฐฯ สีแดง ลุกขึ้นสู้กับโลก ในวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ภาพของไฟป่าที่โหมกระหน่ำ ธารน้ำแข็งที่ละลายอย่างรวดเร็ว และภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก เป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังคืบคลานเข้ามา
แต่ในขณะที่ประชาคมโลกต่างร่วมมือกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้ กลับมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะต่อต้านกระแสโลก นั่นคือรัฐบาลของรัฐฯ สีแดงในสหรัฐอเมริกา
ความแตกแยกทางการเมือง กับ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐอเมริกา มีความแตกแยกทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม
พรรคเดโมแครต มักให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนข้อตกลงปารีส ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในขณะที่พรรครีพับลิกัน มักมองว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
และมองว่า ข้อตกลงปารีส เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศอื่นมากกว่าสหรัฐอเมริกา
ความแตกต่างทางความคิดเห็นนี้ นำไปสู่การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับประชาคมโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะนั้น
ต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แม้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีส อีกครั้ง
แต่ความแตกแยกทางการเมืองภายในประเทศ ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
เศรษฐกิจ VS สิ่งแวดล้อม: ทางเลือกที่ยากลำบาก?
หนึ่งในข้อโต้แย้งหลักของรัฐบาลรัฐฯ สีแดง คือ การดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล
ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในหลายรัฐฯ
ตัวอย่างเช่น รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของสหรัฐฯ
ได้ออกมาต่อต้านมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทนจากบ่อก๊าซธรรมชาติ
โดยอ้างว่า มาตรการดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมนี้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในพลังงานสะอาด
สามารถสร้างงานใหม่ๆ ได้มากกว่าการยึดติดกับพลังงานฟอสซิล
ตัวอย่างเช่น รายงานของ International Renewable Energy Agency (IRENA)
พบว่า การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน จะสร้างงานใหม่ทั่วโลกกว่า 42 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2050
ในขณะที่การยึดติดกับพลังงานฟอสซิล จะทำให้สูญเสียงานไปกว่า 29 ล้านตำแหน่ง
ข้อมูลและข้อเท็จจริง VS ความเชื่อที่ฝังรากลึก
แม้จะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากมายที่สนับสนุนว่า มนุษย์เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังคงปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม
ซึ่งมักได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนที่มีแนวคิดเดียวกัน
และไม่เชื่อถือข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์หรือหน่วยงานภาครัฐ
การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนและการโจมตีทางวิทยาศาสตร์
เป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้
และผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
การศึกษาของ Yale Program on Climate Change Communication
พบว่า ชาวอเมริกันเพียงร้อยละ 57 เท่านั้น
ที่เชื่อว่า ภาวะโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์
ในขณะที่อีกร้อยละ 23
เชื่อว่า ภาวะโลกร้อนเกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติ
ผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ท่าทีของรัฐบาลรัฐฯ สีแดง ในสหรัฐอเมริกา
ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว
แต่ยังส่งผลกระทบต่อความพยายามในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศของโลกด้วย
ในฐานะประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับสองของโลก
การที่สหรัฐฯ ไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
จะทำให้การบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส เป็นไปได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ ท่าทีของรัฐบาลรัฐฯ สีแดง
ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับประเทศอื่นๆ
ที่ต้องการผ่อนคลายมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
โดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ
ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้รุนแรงยิ่งขึ้น
ทางออกสำหรับอนาคต
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลรัฐฯ สีแดง
กับประชาคมโลกในเรื่องสิ่งแวดล้อม
ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
กุญแจสำคัญคือ
การสร้างความเข้าใจร่วมกัน
โดยเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
การลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
และการส่งเสริมการศึกษา
ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้
ภาคประชาสังคม
และภาคธุรกิจ
ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงกดดัน
และผลักดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
Fun Fact:
ทราบหรือไม่ว่า? รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งเป็นรัฐฯ สีน้ำเงิน
มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก
หากเทียบกับประเทศอื่นๆ
และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด
โดยตั้งเป้าหมายที่จะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2045
แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาเศรษฐกิจ
สามารถไปควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้
ข้อมูลทางสถิติ:
ประเทศ |
ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัว (ตัน) |
จีน |
7.5 |
สหรัฐอเมริกา |
15.5 |
อินเดีย |
1.7 |
รัสเซีย |
11.2 |
ญี่ปุ่น |
8.9 |
ที่มา: International Energy Agency (IEA)
#สภาพภูมิอากาศ #สหรัฐอเมริกา #สิ่งแวดล้อม #การเมือง