วิธีการเพาะปลูกแตงกวาในโรงเรือนมีอะไรบ้าง?
ปัจจุบันการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน โรคและแมลงที่ระบาด ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่แน่นอน เกษตรกรหลายรายจึงหันมาสนใจการปลูกพืชในโรงเรือนกันมากขึ้น แตงกวา ถือเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกในโรงเรือน เพราะสามารถควบคุมปัจจัยการเจริญเติบโตได้ดี ช่วยลดความเสียหายจากศัตรูพืช และให้ผลผลิตสูง ในบทความนี้ เราจะพาไปดูกันว่า วิธีการเพาะปลูกแตงกวาในโรงเรือนให้ประสบความสำเร็จ มีอะไรบ้าง
1. การเลือกโรงเรือน
โรงเรือนที่เหมาะสำหรับการปลูกแตงกวา ควรมีความสูงอย่างน้อย 3 เมตร เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตของต้นแตงกวา และระบายอากาศได้ดี โดยทั่วไปนิยมใช้โรงเรือนแบบหลังคาโค้ง เพราะสามารถระบายน้ำฝนและรับแสงแดดได้ดี วัสดุที่ใช้ทำโรงเรือน อาจเลือกใช้เป็นโครงสร้างเหล็ก และคลุมด้วยพลาสติกใส หรือมุ้งไนล่อนตาข่าย ซึ่งช่วยลดปริมาณแสงแดดและป้องกันแมลงได้
2. การเตรียมดินปลูก
แตงกวา เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย มีความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 6.0-6.5 ก่อนปลูกควรมีการเตรียมดินโดยการไถพรวน ตากดิน และปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน
3. การเลือกพันธุ์แตงกวา
การเลือกพันธุ์แตงกวาที่เหมาะสมกับการปลูกในโรงเรือน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลผลิต โดยควรเลือกพันธุ์ที่ทนทานต่อโรคและแมลง ให้ผลผลิตสูง และมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เช่น พันธุ์ กรีนสเปน เอ็มเอส 60 หรือพันธุ์อื่นๆ ตามความเหมาะสม
4. การเพาะเมล็ด
การเพาะเมล็ดแตงกวา สามารถทำได้โดยการเพาะในถาดเพาะ หรือเพาะลงในกระถางเล็กก่อน โดยใช้ดินผสมหรือวัสดุเพาะ เช่น พีทมอส แกลบดำ และขุยมะพร้าว รดน้ำให้ชุ่ม และนำเมล็ดแตงกวาวางลง ก่อนกลบด้วยวัสดุเพาะบาง ๆ จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง และดูแลรักษาความชื้นอย่างสม่ำเสมอ
5. การย้ายปลูก
เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 15-20 วัน หรือมีใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายปลูกลงในแปลง โดยเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50-60 เซนติเมตร และระหว่างแถวประมาณ 80-100 เซนติเมตร
6. การให้น้ำ
การให้น้ำแตงกวาในโรงเรือน ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเช้า เพื่อให้ต้นแตงกวาดูดซึมน้ำได้อย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงการให้น้ำในช่วงเย็น เพราะอาจทำให้เกิดโรครากเน่าได้
7. การให้ปุ๋ย
การให้ปุ๋ยแตงกวา ควรให้ปุ๋ยอย่างน้อย 3 ครั้ง คือ
- ครั้งที่ 1 หลังย้ายปลูก 7 วัน โดยใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15
- ครั้งที่ 2 หลังย้ายปลูก 14 วัน โดยใช้ปุ๋ยสูตร 25-7-7
- ครั้งที่ 3 หลังย้ายปลูก 21 วัน โดยใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21
นอกจากการให้ปุ๋ยเคมีแล้ว ควรมีการให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงโครงสร้างดินร่วมด้วย
8. การทำค้าง
แตงกวาเป็นพืชเลื้อย จำเป็นต้องมีการทำค้างเพื่อพยุงลำต้นให้แข็งแรง สามารถรับน้ำหนักของผลผลิตได้ วัสดุที่ใช้ทำค้างอาจใช้เชือกป่าน ลวด หรือตาข่าย
9. การตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งช่วยให้ต้นแตงกวามีการแตกกิ่งก้านสาขา เพิ่มพื้นที่ในการสังเคราะห์แสง และช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้ โดยควรตัดแต่งกิ่งที่อยู่ด้านล่างของลำต้นออก และกิ่งที่ไม่สมบูรณ์
10. การป้องกันกำจัดโรคและแมลง
โรคและแมลงที่มักพบในแตงกวา เช่น โรคราน้ำค้าง โรคใบจุด เพลี้ยไฟ และหนอนกัดกินใบ ควรหมั่นสำรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบการระบาดของโรคและแมลง ควรกำจัดและทำลายส่วนที่เป็นโรคออกจากแปลง และเลือกใช้สารเคมีที่เหมาะสม
11. การเก็บเกี่ยว
แตงกวาสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกประมาณ 45-60 วัน ขึ้นอยู่กับพันธุ์ โดยสังเกตจากผลแตงกวามีขนาดและสีตามที่ตลาดต้องการ
ตารางแสดงข้อดีและข้อเสียของการปลูกแตงกวาในโรงเรือน
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี | ต้นทุนการผลิตสูง |
ลดความเสียหายจากศัตรูพืช | ต้องมีความรู้และประสบการณ์ |
ให้ผลผลิตสูง | เสี่ยงต่อการระบาดของโรคและแมลง |
สามารถปลูกได้ตลอดปี | ต้องดูแลรักษาโรงเรือน |
การปลูกแตงกวาในโรงเรือน นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร เพราะสามารถควบคุมปัจจัยการผลิตได้ ช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มผลกำไร อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรศึกษาข้อมูล และวางแผนการปลูกให้ดี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
#แตงกวา #โรงเรือน #เกษตรกร #ปลูกผัก