แม้ว่าอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จะเป็นหนึ่งในบิดาแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่
และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีควอนตัมในช่วงต้น
แต่เขากลับกลายเป็นนักวิจารณ์คนสำคัญของทฤษฎีนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติที่ไม่แน่นอน
และการทำนายเชิงสถิติของทฤษฎีนี้
ความขัดแย้งนี้ดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของเขา
และก่อให้เกิดการอภิปรายที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟิสิกส์
ซึ่งยังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน
หนึ่งในการโต้แย้งที่โด่งดังที่สุดของไอน์สไตน์
เกิดขึ้นในการประชุม Solvay Conference ครั้งที่ 5 ในปี 1927
ซึ่งเขามีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างดุเดือดกับนีลส์ บอร์
หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของการตีความทฤษฎีควอนตัมแบบโคเปนเฮเกน
ไอน์สไตน์ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าธรรมชาติมีพื้นรินเป็นแบบสุ่ม
และประกาศอย่างโด่งดังว่า "พระเจ้าไม่เล่นลูกเต๋า"
เขาเชื่อว่าทฤษฎีควอนตัมนั้นไม่สมบูรณ์
และจะต้องมีทฤษฎีที่ลึกซึ้งกว่า
ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางกายภาพได้โดยไม่ต้องอาศัยความน่าจะเป็น
เพื่อสนับสนุนจุดยืนของเขา
ไอน์สไตน์ได้เสนอการทดลองทางความคิดมากมาย
ที่รู้จักกันในชื่อ "EPR paradox" (Einstein-Podolsky-Rosen paradox)
ในปี 1935
การทดลองทางความคิดเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่า
ทฤษฎีควอนตัมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกับสัญชาตญาณ
และดูเหมือนจะละเมิดหลักการพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
เช่น หลักการของท้องถิ่น
ซึ่งระบุว่าวัตถุไม่สามารถได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที
ในระยะห่างที่ไกลเกินกว่าที่สัญญาณจะเดินทางด้วยความเร็วแสง
อย่างไรก็ตาม
การทดลองในภายหลังได้พิสูจน์แล้วว่าการทำนายของทฤษฎีควอนตัมนั้นถูกต้อง
และ EPR paradox สามารถอธิบายได้ด้วยปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดของควอนตัม
เช่น การพัวพัน
ซึ่งอนุภาคสองอนุภาคหรือนั้นเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
แม้ว่าจะอยู่ห่างกันก็ตาม
ผลลัพธ์เหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
เช่น การคำนวณควอนตัมและการเข้ารหัสควอนตัม
แม้จะมีข้อโต้แย้งของไอน์สไตน์
แต่ทฤษฎีควอนตัมก็ได้รับการยืนยันจากการทดลองมากมาย
และกลายเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟิสิกส์
อย่างไรก็ตาม
ความกังวลของไอน์สไตน์เกี่ยวกับการตีความทฤษฎีควอนตัม
ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่นักฟิสิกส์
และนักปรัชญาวิทยาศาสตร์
และกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและการอภิปรายใหม่ๆ เกี่ยวกับรากฐานของกลศาสตร์ควอนตัม
#Einstein #QuantumMechanics #Physics #HistoryofScience