28 กันยายน 2564

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก: แสงส่องสว่างสู่โลกควอนตัม

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก: แสงส่องสว่างสู่โลกควอนตัม

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก: แสงส่องสว่างสู่โลกควอนตัม

ในปี ค.ศ. 1905 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์อัจฉริยะ ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการวิทยาศาสตร์ด้วยการอธิบายปรากฏการณ์อันน่าพิศวง นั่นคือ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (Photoelectric Effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อิเล็กตรอนหลุดออกมาจากวัตถุเมื่อได้รับแสง การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่พลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของแสงเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การกำเนิดของฟิสิกส์ควอนตัมอีกด้วย

จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง

ก่อนหน้าไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแสงเป็นเพียงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ทฤษฎีคลื่นของแสงสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของแสงได้อย่างดี เช่น การเลี้ยวเบนและการแทรกสอด อย่างไรก็ตาม เมื่อนำทฤษฎีคลื่นมาอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก กลับพบว่าทฤษฎีนี้ไม่สามารถให้คำตอบที่สอดคล้องกับผลการทดลองได้ ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีคลื่นทำนายว่าพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงที่ตกกระทบ แต่ผลการทดลองกลับพบว่าพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนขึ้นอยู่กับความถี่ของแสง ไม่ใช่ความเข้ม

แสงคืออนุภาค? สมมติฐานอันกล้าหาญของไอน์สไตน์

เพื่อไขปริศนานี้ ไอน์สไตน์ได้เสนอแนวคิดอันแปลกใหม่ที่ขัดแย้งกับความเชื่อเดิม ๆ เขาตั้งสมมติฐานว่า แสงไม่ได้มีสมบัติเป็นเพียงคลื่นเท่านั้น แต่ยังแสดงสมบัติเป็นอนุภาคด้วย โดยอนุภาคของแสงนี้เรียกว่า “โฟตอน” (Photon) พลังงานของโฟตอนแต่ละตัวจะแปรผันตรงกับความถี่ของแสง

ไอน์สไตน์อธิบายว่า เมื่อโฟตอนของแสงตกกระทบกับผิวโลหะ โฟตอนจะถ่ายเทพลังงานทั้งหมดของมันให้กับอิเล็กตรอนในอะตอมของโลหะ หากพลังงานของโฟตอนมีค่ามากกว่าพลังงานยึดเหนี่ยวที่ยึดอิเล็กตรอนไว้กับอะตอม อิเล็กตรอนจะหลุดออกมาจากอะตอม ส่วนพลังงานส่วนต่างที่เหลือจะกลายเป็นพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา

สมการของไอน์สไตน์ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก มีดังนี้

E = hf = W + KE

โดยที่:

E คือ พลังงานของโฟตอน (จูล)
h คือ ค่าคงที่ของพลังค์ (6.626 x 10-34 จูล-วินาที)
f คือ ความถี่ของแสง (เฮิรตซ์)
W คือ พลังงานงานฟังก์ชัน (Work Function) หรือพลังงานยึดเหนี่ยว (จูล)
KE คือ พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอน (จูล)

การทดลองที่ยืนยันและผลกระทบอันยิ่งใหญ่

ในปี ค.ศ. 1916 โรเบิร์ต มิลิแคน (Robert Millikan) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ได้ทำการทดลองอย่างละเอียดเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของไอน์สไตน์ ผลการทดลองของเขาสอดคล้องกับสมการของไอน์สไตน์อย่างสมบูรณ์ การทดลองของมิลิแคนไม่เพียงแต่ยืนยันทฤษฎีของไอน์สไตน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการวัดค่าคงที่ของพลังค์ (h) ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

การค้นพบปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและคำอธิบายอันชาญฉลาดของไอน์สไตน์ นับเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติวงการฟิสิกส์ การมองแสงว่ามีสมบัติเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค หรือที่เรียกว่า “ทวิภาคของคลื่นและอนุภาค” (Wave-Particle Duality) ได้กลายเป็นหลักการพื้นฐานของกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในระดับอะตอมและเล็กกว่าอะตอม

นวัตกรรมที่ต่อยอดจากปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีที่งดงามในเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น

  1. เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell): เซลล์แสงอาทิตย์แปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยอาศัยปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
  2. หลอดโฟโตมัลติพลายเออร์ (Photomultiplier Tube): อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจจับแสงความเข้มต่ำ ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ กล้องโทรทรรศน์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์
  3. กล้องดิจิทัล (Digital Camera): เซ็นเซอร์รับภาพในกล้องดิจิทัลทำงานโดยอาศัยปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกในการแปลงแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้า

จากการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของไอน์สไตน์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของฟิสิกส์สมัยใหม่ ส่งผลต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อ ๆ ไปในการไขปริศนาของจักรวาลต่อไป

#ฟิสิกส์ #ควอนตัม #ไอน์สไตน์ #โฟโตอิเล็กทริก

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส