ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเรือเยอรมัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Kriegsmarine" ภายใต้การนำของนาซีเยอรมนี ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับยุทธวิธีทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเรือดำน้ำ หรือ "U-boat" ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อยุทธการในมหาสมุทรแอตแลนติก การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเรือดำน้ำเยอรมันนี้เป็นผลมาจากการลงทุนอย่างมหาศาล รวมถึงการปรับกลยุทธ์ทางทหารเพื่อท้าทายอำนาจของกองทัพเรือสัมพันธมิตร
ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง สนธิสัญญาแวร์ซายได้จำกัดการพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารของเยอรมนีอย่างมาก รวมถึงการห้ามสร้างเรือดำน้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาได้ละเมิดข้อตกลงดังกล่าวอย่างเปิดเผยและเริ่มโครงการเสริมสร้างกองทัพอย่างลับๆ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเรือดำน้ำรุ่นใหม่ภายใต้การนำของพลเรือเอก Karl Dönitz ผู้บัญชาการกองเรือดำน้ำเยอรมัน
ยุทธวิธี "สงครามเรือดำน้ำ"
พลเรือเอก Dönitz เห็นถึงศักยภาพของเรือดำน้ำในการตัดเส้นทางลำเลียงของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแอตแลนติก ยุทธวิธีที่เรียกว่า "Rudeltaktik" หรือ "Wolfpack" กลายเป็นยุทธวิธีหลักของกองเรือดำน้ำเยอรมัน โดยเรือดำน้ำจะออกปฏิบัติการเป็นกลุ่มๆ คล้ายฝูงหมาป่า เมื่อพบเห็นขบวนเรือขนส่งสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตร พวกมันจะรายงานตำแหน่งและโจมตีพร้อมกัน ทำให้การป้องกันเป็นไปได้ยาก
ในช่วงแรกของสงคราม ยุทธวิธี Wolfpack สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับกองเรือขนส่งของฝ่ายสัมพันธมิตร ตัวเลขจากบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าในช่วงปี 1940-1943 เรือดำน้ำเยอรมันจมเรือสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรไปกว่า 2,779 ลำ คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 14.1 ล้านตัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการลำเลียงเสบียงและยุทโธปกรณ์ของกองทัพอังกฤษและพันธมิตร
เทคโนโลยีเรือดำน้ำที่ก้าวล้ำ
ความสำเร็จของกองเรือดำน้ำเยอรมันไม่ได้มาจากยุทธวิธีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้นอีกด้วย เรือดำน้ำ Type VII กลายเป็นแบบเรือดำน้ำหลักของเยอรมนี มีการผลิตมากกว่า 700 ลำ ในช่วงสงคราม เรือดำน้ำ Type VII มีขนาดเล็ก คล่องตัวสูง สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 230 เมตร และมีระยะทำการไกลถึง 8,500 ไมล์ทะเล
นอกจากนี้ วิศวกรเยอรมันยังได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับเรือดำน้ำ เช่น
- ระบบ "Schnorchel" หรือท่อหายใจ ทำให้เรือดำน้ำสามารถอยู่ในตำแหน่งใต้น้ำได้นานขึ้น โดยไม่ต้องโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อเติมอากาศ
- ตอร์ปิโดแบบ "G7e" ที่ใช้ระบบควบคุมเสียง ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการโจมตีเรือข้าศึก
- การเคลือบเรือดำน้ำด้วยวัสดุพิเศษ ช่วยลดการสะท้อนคลื่นโซนาร์ ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้น
จุดเปลี่ยนและจุดจบของสงครามเรือดำน้ำ
ถึงแม้ความสำเร็จในช่วงแรก ฝ่ายสัมพันธมิตรก็เริ่มพัฒนายุทธวิธีและเทคโนโลยีเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากเรือดำน้ำเยอรมัน การใช้เรดาร์ที่ทันสมัยมากขึ้น การถอดรหัสเครื่อง Enigma ของเยอรมัน รวมถึงการสร้างเรือคุ้มกันจำนวนมาก ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถลดความเสียหายจากการโจมตีของเรือดำน้ำได้อย่างมาก
จากสถิติพบว่าในช่วงปี 1943 เป็นต้นไป จำนวนเรือดำน้ำเยอรมันที่ถูกทำลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1944 เยอรมนีสูญเสียเรือดำน้ำไปกว่า 245 ลำ ความสูญเสียอย่างหนักนี้ส่งผลให้ยุทธวิธี Wolfpack ไม่ได้ผลอีกต่อไป และในที่สุดกองเรือดำน้ำเยอรมันก็พ่ายแพ้ไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนีในปี 1945
บทสรุป
แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในสงคราม แต่การพัฒนาเรือดำน้ำและยุทธวิธีของนาซีเยอรมนี ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อยุทธนาวีสมัยใหม่ เทคโนโลยีและยุทธวิธีต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นในช่วงเวลานั้น ได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเรือดำน้ำและยุทธวิธีต่อต้านเรือดำน้ำในยุคหลังสงคราม
#สงครามโลก #เรือดำน้ำ #นาซีเยอรมนี #เทคโนโลยีทางทะเล