04 มีนาคม 2568

PHEVA: ก้าวข้ามขีดจำกัดการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอด้วย PHEVA ชุดข้อมูลที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัว

PHEVA: ก้าวข้ามขีดจำกัดการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอด้วย PHEVA ชุดข้อมูลที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัว

PHEVA: ก้าวข้ามขีดจำกัดการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอด้วย PHEVA ชุดข้อมูลที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัว

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การนำ AI มาประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์วิดีโอกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หนึ่งในงานวิจัยที่น่าสนใจและท้าทายคือ การตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอ (Video Anomaly Detection) ซึ่งเป็นกระบวนการระบุเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากรูปแบบปกติที่เกิดขึ้นในวิดีโอ งานวิจัยด้านนี้มีประโยชน์อย่างมากในหลากหลายสาขา เช่น การเฝ้าระวังความปลอดภัย การตรวจจับอุบัติเหตุบนท้องถนน การควบคุมคุณภาพในโรงงานอุตสาหกรรม และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม ชุดข้อมูล (Dataset) ที่ใช้ในการพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของแบบจำลอง AI สำหรับการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอนั้น มักจะมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ เช่น ขาดความหลากหลาย ไม่ครอบคลุมสถานการณ์จริง หรือละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคลในวิดีโอ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของแบบจำลอง AI ในการใช้งานจริง

PHEVA คืออะไร

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว งานวิจัยล่าสุดได้นำเสนอ PHEVA (Privacy-preserving Human-centric Video Anomaly Detection Dataset) ซึ่งเป็นชุดข้อมูลใหม่สำหรับการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของมนุษย์เป็นหลัก PHEVA แตกต่างจากชุดข้อมูลที่มีอยู่เดิมในหลายด้าน ดังนี้

  1. ความหลากหลายของข้อมูล PHEVA รวบรวมวิดีโอจากแหล่งที่มาที่หลากหลาย ครอบคลุมสถานการณ์จริงมากมาย เช่น ถนนหนทาง สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า และอื่นๆ ทำให้แบบจำลอง AI ที่ฝึกฝนด้วย PHEVA สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
  2. เน้นที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง PHEVA ให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ในวิดีโอ โดยใช้เทคนิคการลดทอนข้อมูลส่วนบุคคล (De-identification) เช่น การเบลอใบหน้า การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของร่างกาย และการลบข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลในวิดีโอจะไม่ถูกเปิดเผย
  3. ครอบคลุมความผิดปกติที่หลากหลาย PHEVA ประกอบด้วยวิดีโอที่แสดงถึงความผิดปกติที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิ่ง การล้ม การต่อสู้ การทิ้งสิ่งของต้องสงสัย และพฤติกรรมที่ผิดปกติอื่นๆ ความหลากหลายของความผิดปกติใน PHEVA ช่วยให้แบบจำลอง AI สามารถเรียนรู้และระบุความผิดปกติได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

PHEVA มีประโยชน์อย่างไร

การนำ PHEVA มาใช้ในการพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของแบบจำลอง AI สำหรับการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอ นำมาซึ่งประโยชน์มากมาย ดังนี้

  • เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ PHEVA ช่วยให้แบบจำลอง AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลที่หลากหลาย ครอบคลุมสถานการณ์จริง และคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว ทำให้แบบจำลอง AI มีความแม่นยำในการตรวจจับความผิดปกติสูงขึ้น
  • ลดอัตราการแจ้งเตือนที่ผิดพลาด PHEVA ช่วยให้แบบจำลอง AI สามารถแยกแยะพฤติกรรมปกติออกจากพฤติกรรมที่ผิดปกติได้ดียิ่งขึ้น ลดอัตราการแจ้งเตือนที่ผิดพลาด (False Alarm) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการตรวจจับความผิดปกติ
  • ส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ PHEVA ส่งเสริมการพัฒนาแบบจำลอง AI ที่คำนึงถึงจริยธรรมและความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ สร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยี AI จะถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ PHEVA

PHEVA สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายสาขา ตัวอย่างเช่น

สาขา การประยุกต์ใช้
การเฝ้าระวังความปลอดภัย ตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัย เช่น การบุกรุก การลักขโมย หรือการก่อวินาศกรรม
การจราจรทางบก ตรวจจับอุบัติเหตุ การจอดรถในที่ห้ามจอด หรือการขับขี่ที่เป็นอันตราย
การดูแลสุขภาพ ตรวจจับการล้มของผู้ป่วย หรือพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติทางสุขภาพ

PHEVA กับอนาคตของการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอ

PHEVA ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาชุดข้อมูลสำหรับการตรวจจับความผิดปกติในวิดีโอที่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัว เชื่อว่า PHEVA จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาแบบจำลอง AI ที่มีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ และมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขวางและยั่งยืน

Fun Fact: รู้หรือไม่ว่า ชุดข้อมูล PHEVA ได้รับการเผยแพร่เป็นสาธารณะสำหรับการวิจัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมความร่วมมือและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในวงกว้าง

#AI #VideoAnalytics #Privacy #Dataset

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส