16 เมษายน 2567

ความอัศจรรย์หลากสีสัน: เผยความลับของ "น้ำมันดิบ" จากแหล่งกำเนิดทั่วโลก

ความอัศจรรย์หลากสีสัน: เผยความลับของ "น้ำมันดิบ" จากแหล่งกำเนิดทั่วโลก

ความอัศจรรย์หลากสีสัน: เผยความลับของ "น้ำมันดิบ" จากแหล่งกำเนิดทั่วโลก

หากเอ่ยถึง "น้ำมันดิบ" ภาพในหัวของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นของเหลวสีดำข้น หนืด เหนียว ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว "น้ำมันดิบ" ที่เรารู้จักนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่สีดำเท่านั้น แต่ยังมีสีสันอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิด รวมไปถึงองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกัน ส่งผลให้คุณสมบัติ กลิ่น และราคาของน้ำมันดิบจากแต่ละแหล่งมีความแตกต่างกันออกไป

สีสันที่แตกต่าง: บอกเล่าเรื่องราวของน้ำมันดิบ

สีของน้ำมันดิบนั้นสามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติเบื้องต้นได้ โดยทั่วไปแล้ว น้ำมันดิบที่มีสีอ่อน จะมีค่าความถ่วงจำเพาะ (API Gravity) สูง หมายถึงมีปริมาณน้ำมันเบนซินและน้ำมันก๊าดสูง ซึ่งเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ ทำให้สามารถนำไปกลั่นเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงได้ง่าย มีราคาสูง ในขณะที่น้ำมันดิบสีเข้มจะมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำ มีปริมาณสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหนัก เช่น แอสฟัลต์ มากกว่า จึงต้องผ่านกระบวนการกลั่นที่ซับซ้อนกว่า

สีของน้ำมันดิบ ลักษณะ ตัวอย่างแหล่งน้ำมัน
สีเขียวอ่อน - เหลืองทอง มีปริมาณกำมะถันต่ำ (Sweet Crude Oil) แหล่งน้ำมันดิบบрент ในทะเลเหนือ
สีน้ำตาล - ดำ มีปริมาณกำมะถันสูง (Sour Crude Oil) แหล่งน้ำมันดิบดูไบ ในตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ กลิ่นของน้ำมันดิบยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติ โดยน้ำมันดิบที่มีกลิ่นฉุน มักจะมีปริมาณกำมะถันสูง ซึ่งเป็นสารประกอบที่ไม่พึงประสงค์ในการกลั่นน้ำมัน เพราะอาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

การเดินทางของน้ำมันดิบ: จากแหล่งกำเนิดสู่การกลั่น

หลังจากที่ถูกขุดขึ้นมาจากใต้ดิน น้ำมันดิบจะถูกขนส่งผ่านท่อส่งน้ำมัน เรือบรรทุกน้ำมัน หรือรถไฟ เพื่อนำไปยังโรงกลั่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำการแยกน้ำมันดิบออกเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด น้ำมันหล่อลื่น และสารประกอบอื่นๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ

กระบวนการกลั่นน้ำมันดิบเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน โดยอาศัยหลักการที่ว่า สารประกอบไฮโดรคาร์บอนแต่ละชนิด มีจุดเดือดที่แตกต่างกัน โดยเริ่มจากการให้ความร้อนแก่น้ำมันดิบจนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วปล่อยให้น้ำมันดิบไหลผ่านหอกลั่น ซึ่งภายในหอกลั่นจะมีถาดรองรับของเหลวที่ควบแน่นในแต่ละชั้น โดยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีจุดเดือดต่ำจะระเหยขึ้นไปควบแน่นที่ชั้นบน ส่วนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีจุดเดือดสูงจะควบแน่นที่ชั้นล่าง ทำให้สามารถแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแต่ละชนิดออกจากกันได้

Fun Fact!

- รู้หรือไม่ว่า น้ำมันดิบ 1 บาร์เรล (หรือประมาณ 159 ลิตร) สามารถนำไปกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินได้เพียงประมาณ 75 ลิตรเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกนำไปใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด และน้ำมันหล่อลื่น

- คำว่า "Petroleum" ซึ่งเป็นคำเรียกน้ำมันดิบในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ "Petra" ที่แปลว่า หิน และ "Oleum" ที่แปลว่า น้ำมัน เมื่อรวมกันแล้วจึงมีความหมายว่า "น้ำมันที่ได้จากหิน"

#น้ำมันดิบ #พลังงาน #เศรษฐกิจ #สิ่งแวดล้อม

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส