การผัดวันประกันพรุ่ง หรือ Procrastination เป็นเหมือนศัตรูตัวร้ายที่คอยขัดขวางความสำเร็จของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งเจ้าของธุรกิจ ต่างก็เคยเผชิญหน้ากับเจ้าความขี้เกียจ ที่คอยมากระซิบข้างหูให้เราผลัดงานไปทำวันพรุ่งนี้เสมอ งานวิจัยเผยว่ากว่า 95% ของประชากรโลก ต่างก็เคยผัดวันประกันพรุ่งกันมาแล้วทั้งสิ้น แต่รู้หรือไม่ว่า การผัดวันประกันพรุ่งนั้นส่งผลเสียมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเครียด ความวิตกกังวล ประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง และอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้อีกด้วย
แต่ไม่ต้องกังวลไป บทความนี้ได้รวบรวม 7 เคล็ดลับเด็ด ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากงานวิจัย ที่จะช่วยให้คุณกำจัดความขี้เกียจ และลดการผัดวันประกันพรุ่งได้อย่างอยู่หมัด
1. เข้าใจต้นตอของปัญหา
ก่อนอื่น เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราผัดวันประกันพรุ่ง บางคนอาจจะเกิดจากความกลัวความล้มเหลว บางคนอาจจะรู้สึกว่างานที่ได้รับมอบหมายนั้นยากเกินไป หรือบางคนอาจจะแค่เบื่อง่ายและขาดแรงจูงใจในการทำงาน เมื่อเราเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาแล้ว เราก็จะสามารถหาวิธีแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น
2. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนและแบ่งงานเป็นส่วนย่อย
หลายครั้งที่เรารู้สึกว่างานที่ได้รับมอบหมายนั้นใหญ่เกินไป จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้และไม่อยากลงมือทำ ดังนั้น ลองแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่สามารถทำได้ง่ายขึ้น แล้วตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวัน เช่น วันนี้จะอ่านหนังสือให้จบ 1 บท หรือจะเขียนรายงานให้ได้ 1 หน้า เมื่อเราทำเป้าหมายเล็กๆ สำเร็จได้ ก็จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น และมีแรงจูงใจในการทำงานชิ้นต่อไปได้มากขึ้นด้วย
3. จัดลำดับความสำคัญของงาน
เทคนิค Eisenhower Matrix เป็นอีกหนึ่งเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญของงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งงานออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่ม | รายละเอียด | วิธีจัดการ |
---|---|---|
1. ด่วนและสำคัญ | งานที่ต้องทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด และส่งผลกระทบต่องานโดยตรง | ลงมือทำทันที |
2. สำคัญแต่ไม่ด่วน | งานที่ส่งผลในระยะยาว เช่น การพัฒนาตัวเอง การวางแผนชีวิต | วางแผนและจัดสรรเวลาทำให้เสร็จ |
3. ด่วนแต่ไม่สำคัญ | งานที่รบกวนเวลา เช่น การตอบอีเมลล์ การรับโทรศัพท์ | มอบหมายให้ผู้อื่น หรือ ทำภายหลัง |
4. ไม่ด่วนและไม่สำคัญ | งานที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น การเล่นโซเชียลมีเดีย | ตัดทิ้งไปได้เลย |
เมื่อคุณสามารถแยกแยะงานออกเป็น 4 กลุ่มนี้ได้แล้ว คุณจะสามารถจัดสรรเวลาและโฟกัสกับงานที่สำคัญที่สุดก่อน และลดเวลาในการทำกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเป้าหมายของคุณ
4. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน
สภาพแวดล้อมในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าที่คุณคิด ลองหาพื้นที่ที่เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน เช่น เสียงโทรทัศน์ เสียงโทรศัพท์มือถือ หรือเสียงคุยกัน จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ หรือจุดเทียนหอมอ่อนๆ เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น
5. ใช้เทคนิค Pomodoro Technique
เทคนิค Pomodoro เป็นเทคนิคการจัดการเวลาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยมีหลักการง่ายๆ คือ การแบ่งเวลาทำงานออกเป็นช่วงๆ ช่วงละ 25 นาที สลับกับการพักผ่อน 5 นาที และเมื่อทำงานครบ 4 ช่วงแล้ว ให้พักยาว 20-30 นาที เทคนิคนี้จะช่วยให้สมองของคุณได้พักผ่อนเป็นระยะๆ ทำให้สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้นานขึ้น และลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานได้อีกด้วย
6. ให้รางวัลตัวเองบ้าง
อย่าลืมให้รางวัลตัวเองเมื่อทำเป้าหมายสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารอร่อยๆ ดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมที่ชอบ รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จะเป็นแรงจูงใจให้คุณอยากทำงานให้สำเร็จเร็วขึ้น และเป็นการเติมพลังบวกให้กับตัวเอง
7. อย่าโทษตัวเองเมื่อผิดพลาด
ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด ดังนั้น หากคุณเผลอผัดวันประกันพรุ่งไปบ้าง ก็อย่าโทษตัวเอง แต่ให้มองว่ามันเป็นบทเรียนให้คุณได้เรียนรู้และปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป
การลดการผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่คุณมีความตั้งใจจริงและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ เคล็ดลับที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะช่วยให้คุณเอาชนะความขี้เกียจในตัวคุณได้ และนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน
#ลดการผัดวันประกันพรุ่ง #เพิ่มประสิทธิภาพ #จัดการเวลา #พัฒนาตัวเอง