โรคอัณฑะบวม หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Testicular Torsion เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อสายน้ำกาม ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงเลือดไปเลี้ยงอัณฑะเกิดการบิดตัว ส่งผลให้อัณฑะขาดเลือด ภาวะนี้นับเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ภาวะเนื้อเยื่ออัณฑะตายและภาวะมีบุตรยากได้
สาเหตุของโรคอัณฑะบวม
สาเหตุของโรคอัณฑะบวมนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าปัจจัยบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ ได้แก่:
- ความผิดปกติของสายน้ำกามแต่กำเนิด: บางรายอาจเกิดมาพร้อมกับสายน้ำกามที่ไม่แข็งแรงหรือยึดติดกับอัณฑะไม่ดี ทำให้สายน้ำกามบิดตัวได้ง่าย
- การบาดเจ็บที่อัณฑะ: อุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนบริเวณอัณฑะ อาจทำให้สายน้ำกามบิดตัวได้
- การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว: การสัมผัสกับความเย็นจัด เช่น การโดดลงน้ำเย็นจัด อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ได้
- กิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนัก: การออกกำลังกายบางประเภท เช่น การขี่จักรยานหรือการเล่นกีฬาบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัณฑะบวมได้
อาการของโรคอัณฑะบวม
อาการของโรคอัณฑะบวมมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดรุนแรงที่อัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง บางรายอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น:
- อาการบวมแดงที่อัณฑะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้องน้อย
- มีไข้
ในบางกรณี อาการปวดอาจเกิดขึ้นและหายไปเป็นพักๆ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดอัณฑะอย่างเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
การวินิจฉัยโรคอัณฑะบวม
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคอัณฑะบวมได้จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น:
- การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound): เพื่อตรวจดูการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงอัณฑะ
- การตรวจปัสสาวะ: เพื่อตรวจหาการติดเชื้อ
การรักษาโรคอัณฑะบวม
การรักษาโรคอัณฑะบวมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและระยะเวลาที่อัณฑะขาดเลือด โดยทั่วไปแล้ว การรักษามี 2 วิธีหลักๆ คือ:
- การผ่าตัดคลายการบิดตัวของสายน้ำกาม: เป็นวิธีการรักษาหลักของโรคอัณฑะบวม แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อคลายการบิดตัวของสายน้ำกาม เพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงอัณฑะได้ตามปกติ หากทำการผ่าตัดภายใน 6 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ อัณฑะส่วนใหญ่มักจะสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ
- การคลายการบิดตัวของสายน้ำกามโดยไม่ต้องผ่าตัด: ในบางกรณี แพทย์อาจสามารถคลายการบิดตัวของสายน้ำกามได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้วิธีการคลึงอัณฑะ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มักได้ผลเฉพาะในระยะแรกของโรคและจำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ผลกระทบของโรคอัณฑะบวม
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคอัณฑะบวมอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น:
- ภาวะเนื้อเยื่ออัณฑะตาย: หากอัณฑะขาดเลือดเป็นเวลานาน เนื้อเยื่อของอัณฑะจะเริ่มตาย ทำให้สูญเสียการทำงานของอัณฑะข้างนั้นไป ในกรณีที่รุนแรง อาจต้องตัดอัณฑะออก
- ภาวะมีบุตรยาก: โรคอัณฑะบวมอาจส่งผลต่อการผลิตสเปิร์ม ทำให้มีโอกาสมีบุตรยากมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีหรือต้องตัดอัณฑะออก
การป้องกันโรคอัณฑะบวม
แม้ว่าเราจะไม่สามารถป้องกันโรคอัณฑะบวมได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ โดย:
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่อัณฑะ: สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันขณะเล่นกีฬา ระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณอัณฑะ
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- พบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ: หากมีอาการปวดอัณฑะอย่างเฉียบพลัน อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
โรคอัณฑะบวมเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการปวดอัณฑะอย่างเฉียบพลัน อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์
#สุขภาพผู้ชาย #อัณฑะบวม #TesticularTorsion #โรคที่พบบ่อย