18 ธันวาคม 2566

ภาวะหมดไฟในการทำงาน: สัญญาณเตือนและวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป

ภาวะหมดไฟในการทำงาน: สัญญาณเตือนและวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป

ภาวะหมดไฟในการทำงาน: สัญญาณเตือนและวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป

ในยุคที่การแข่งขันสูงและเต็มไปด้วยความท้าทาย การทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่กลายเป็นสิ่งที่หลายคนยึดถือ แต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังความสำเร็จและความมุ่งมั่น อาจแฝงด้วยสภาวะที่บั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ นั่นคือ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” หรือ Burnout Syndrome ปัญหาที่ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับตัวบุคคล แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและองค์กรโดยรวมอีกด้วย บทความนี้จะพาไปสำรวจสัญญาณเตือนของภาวะหมดไฟ พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและรับมือ ก่อนที่จะสายเกินไป

ภาวะหมดไฟในการทำงาน คืออะไร?

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) คือ สภาวะทางอารมณ์ จิตใจ และร่างกายที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้คำจำกัดความของภาวะหมดไฟในการทำงาน ไว้ว่าเป็น “อาการที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานที่ไม่ได้รับการจัดการที่ดี” โดยมีลักษณะเด่น 3 ประการ ได้แก่

  1. รู้สึกเหนื่อยล้า หมดพลังงาน
  2. มองงานในแง่ลบ ไม่อยากทำงาน
  3. ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

สัญญาณเตือนภัย ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟ

ภาวะหมดไฟไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ การสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจัดการกับความเครียดได้ทันท่วงที ตัวอย่างสัญญาณเตือนที่พบบ่อย ได้แก่

ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านพฤติกรรม
อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องไส้ปั่นป่วน ภูมิคุ้มกันต่ำ ป่วยบ่อย หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย ท้อแท้ วิตกกังวล ขาดสมาธิ สูญเสียความมั่นใจในตนเอง ผัดวันประกันพรุ่ง ทำงานผิดพลาดบ่อย ขาดความคิดสร้างสรรค์ แยกตัวจากสังคม ไม่อยากเข้าสังคม

ตัวเลขและสถิติที่น่าตกใจ เกี่ยวกับภาวะหมดไฟในการทำงาน

ผลสำรวจจาก Gallup พบว่า พนักงานทั่วโลกกว่า 23% รู้สึกหมดไฟกับงานอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่ 44% รู้สึกหมดไฟกับงานเป็นบางครั้ง นอกจากนี้ งานวิจัยจากองค์กร World Health Organization (WHO) ระบุว่า ภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า โดยพบว่าผู้ที่มีภาวะหมดไฟในการทำงาน มีความเสี่ยงเป็นโรควิตกกังวลสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า

รับมือและป้องกันภาวะหมดไฟ: สร้างสมดุลชีวิตและเติมพลังบวก

การป้องกันและรับมือกับภาวะหมดไฟเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัดสรรเวลาให้กับตัวเอง และสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างเหมาะสม

1. จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

ค้นหาวิธีผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ

2. กำหนดขอบเขตระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว

พยายามแยกเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนออกจากกันอย่างชัดเจน หลีกเลี่ยงการทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้ง และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

3. พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่

4. ดูแลสุขภาพกายและใจ

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ

5. สื่อสารกับคนรอบข้าง

พูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อระบายความเครียด หรือขอคำปรึกษาเมื่อรู้สึกท้อแท้

6. หากิจกรรมที่สร้างความสุข

ลองหากิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น การท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำอาหาร เพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียดและเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต

7. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ

ไม่จำเป็นต้องรับปากทุกอย่าง เรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานที่เกินกำลัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดสะสม

8. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เข้าร่วมอบรม หรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสุขในการทำงาน

9. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

หากรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับความเครียดได้ด้วยตนเอง ควรขอความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาอย่างเหมาะสม

ภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันและรับมือได้ หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย และประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อย่าปล่อยทิ้งไว้จนสายเกินไป ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลตัวเอง เพื่อให้กลับมามีชีวิตที่สมดุลและมีความสุขอีกครั้ง

#ภาวะหมดไฟ #BurnoutSyndrome #สุขภาพจิต #การทำงาน

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส