สร้างสวรรค์ทำงานที่บ้าน: เสกห้องสี่เหลี่ยมให้กลายเป็นออฟฟิศแห่งความสำเร็จ
ยุคสมัยเปลี่ยนไป การทำงานแบบเดิมๆ ก็เช่นกัน การทำงานทางไกล (Remote Work) ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่กลับเป็น New Normal ที่หลายบริษัททั่วโลกต่างก็ปรับตัว รายงานจาก Global Workplace Analytics เผยให้เห็นถึงสถิติที่น่าสนใจว่า จำนวนพนักงานที่ทำงานทางไกลในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 173% ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการทำงานรูปแบบใหม่นี้
แต่การจะทำงานที่บ้านให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การนั่งทำงานบนโซฟาสบายๆ พร้อมกับดูซีรีย์โปรดไปด้วย การสร้างพื้นที่ทำงานที่บ้าน หรือ “Home Office” ที่เอื้อต่อการทำงานอย่างแท้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่า เราจะเนรมิตห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาให้กลายเป็นออฟฟิศในฝัน ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและความสุขในการทำงานได้อย่างไร
1. สถานที่ สำคัญกว่าที่คิด
หลายคนอาจคิดว่าการทำงานที่บ้าน ข้อดีคือการได้นอนกลิ้งไปทำงานบนเตียงนุ่มๆ แต่รู้หรือไม่ว่า การแยกพื้นที่ทำงานออกจากพื้นที่พักผ่อน ส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการทำงาน งานวิจัยจาก Harvard Business Review เผยว่าพนักงานที่แยกพื้นที่ทำงานที่บ้านอย่างชัดเจน มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่า และยังช่วยลดความเครียดจากการทำงานที่อาจสะสมไปถึงเวลาพักผ่อนได้อีกด้วย
ลองหาห้อง หรือมุมสงบที่ปราศจากสิ่งรบกวน จัดโต๊ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์ให้พร้อม แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่การแบ่งโซนอย่างชัดเจน จะช่วยให้สมองของเราสลับโหมดการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. จัดแสง แต่งห้อง ให้พร้อมลุย
แสงธรรมชาติ คือตัวช่วยชั้นดีในการกระตุ้นให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังในการทำงาน และยังช่วยลดอาการอ่อนล้าทางสายตาได้อีกด้วย ลองจัดโต๊ะทำงานไว้ใกล้หน้าต่าง เพื่อรับแสงธรรมชาติในช่วงกลางวัน ส่วนในตอนกลางคืน ควรเลือกใช้ไฟโทนสว่าง เพื่อให้ความสว่างที่เพียงพอต่อการทำงาน
นอกจากนี้ การแต่งห้องทำงานด้วยต้นไม้ หรือสีสันที่ชื่นชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น เสริมสร้างบรรยากาศการทำงานให้น่าอยู่ และช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี
3. อุปกรณ์ครบมือ เพิ่มความลื่นไหล
อินเทอร์เน็ตแรงๆ คอมพิวเตอร์คู่ใจ หูฟังตัดเสียงรบกวน และอุปกรณ์สำนักงานที่ครบครัน คือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ Home Office ในฝัน การลงทุนกับอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงาน แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานระยะยาวอีกด้วย ลองสำรวจตัวเองว่าอุปกรณ์ใดบ้างที่จำเป็น และเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อประสบการณ์การทำงานที่ราบรื่นไร้สะดุด
4. กำหนดตารางชีวิต (ที่ยืดหยุ่น)
หนึ่งในข้อดีของการทำงานที่บ้าน คือความยืดหยุ่นด้านเวลา แต่การไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน อาจทำให้เรามีวินัยในการทำงานลดลง และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานในที่สุด
ลองกำหนดตารางเวลาทำงาน และเวลาพักผ่อนให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองของเราทำงานได้ดีที่สุด และอย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับการพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เพื่อเติมพลังให้ร่างกายและสมอง พร้อมกลับไปลุยงานต่ออย่างมีประสิทธิภาพ
5. พักบ้าง อะไรบ้าง
การทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ โดยไม่ลุกไปไหน ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย เช่น อาการปวดหลัง ปวดตา หรือออฟฟิศซินโดรม แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน และอาจนำไปสู่ความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว
ลองตั้งนาฬิกาปลุกเตือนให้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย หรือเดินไปดื่มน้ำทุกๆ 1 ชั่วโมง การลุกออกจากโต๊ะทำงาน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ช่วยให้ร่างกายได้ขยับ สมองได้พัก และกลับมาโฟกัสกับงานได้ดีขึ้น
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
การทำงานที่บ้าน แม้จะมาพร้อมกับความท้าทาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Home Office คือ New Normal ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น การสร้างพื้นที่ทำงานที่เอื้อต่อการทำงาน และการปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ และความสุขในการทำงานอย่างยั่งยืน
#worklifebalance #homeoffice