06 สิงหาคม 2564

เมื่อการตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้าง กลายเป็นกำแพงราคาสำหรับนักวิทยาศาสตร์

เมื่อการตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้าง กลายเป็นกำแพงราคาสำหรับนักวิทยาศาสตร์

เมื่อการตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้าง กลายเป็นกำแพงราคาสำหรับนักวิทยาศาสตร์

ในโลกยุคปัจจุบันที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเผยแพร่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์แบบเปิดกว้าง (Open Access) กลายเป็นกระแสหลักที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงความรู้ และส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และนวัตกรรมในวงกว้างมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รูปแบบการตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้างที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน คือรูปแบบ "ผู้แต่งจ่าย" (Pay-to-Publish) ซึ่งนักวิจัยจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจว่า รูปแบบการตีพิมพ์แบบนี้ กำลังกลายเป็นกำแพงราคาที่ขัดขวางนักวิทยาศาสตร์ในการเผยแพร่ผลงานวิจัยหรือไม่

ค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว: อุปสรรคสำคัญของนักวิทยาศาสตร์

หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอย่างกว้างขวางคือ ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ (Article Processing Charges: APCs) ที่เรียกเก็บจากนักวิจัยในรูปแบบการตีพิมพ์แบบเปิดกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวารสารวิชาการนานาชาติที่มีชื่อเสียง มักมีค่า APCs ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจสูงถึงหลายพันดอลลาร์สหรัฐต่อบทความ ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ที่มีทุนวิจัยจำกัด หรือมาจากประเทศกำลังพัฒนา ประสบปัญหาในการเข้าถึงช่องทางการเผยแพร่งานวิจัยที่มีคุณภาพ

จากการศึกษาของ Wellcome Trust พบว่า ค่า APCs เฉลี่ยของวารสารแบบเปิดกว้างในปี 2020 อยู่ที่ประมาณ 2,288 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่วารสารบางฉบับอาจเรียกเก็บค่า APCs สูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภาระค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเผยแพร่งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพวิชาการ

ความเหลื่อมล้ำทางวิชาการ: ช่องว่างที่อาจกว้างขึ้น

นอกจากนี้ รูปแบบการตีพิมพ์แบบ "ผู้แต่งจ่าย" ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจเป็นการซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางวิชาการที่มีอยู่เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ในประเทศที่พัฒนาแล้วมักได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยที่มากกว่า และมีแนวโน้มที่จะได้รับการตีพิมพ์ผลงานในวารสารนานาชาติมากกว่า ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ในประเทศกำลังพัฒนา อาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและขาดโอกาสในการเข้าถึงช่องทางการเผยแพร่ผลงานที่มีคุณภาพ

จากข้อมูลของ UNESCO พบว่า ประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารนานาชาติเพียงร้อยละ 25 ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมีสัดส่วนการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารนานาชาติสูงถึงร้อยละ 75 ความแตกต่างดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงช่องทางการเผยแพร่งานวิจัย ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระยะยาว

ทางออกและทางเลือกสำหรับอนาคต

แม้ว่ารูปแบบการตีพิมพ์แบบ "ผู้แต่งจ่าย" จะมีข้อจำกัด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปแบบการตีพิมพ์แบบเปิดกว้าง มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้ และขับเคลื่อนการพัฒนางานวิจัยในระดับโลก ดังนั้น เพื่อลดทอนผลกระทบด้านลบ และส่งเสริมให้การตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้าง เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการหาทางออกและทางเลือกที่ยั่งยืน ตัวอย่างแนวทางแก้ไขที่น่าสนใจ เช่น

  1. การสนับสนุนทุนวิจัยที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์แบบเปิดกว้าง
  2. การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้างสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในประเทศกำลังพัฒนา
  3. การส่งเสริมให้เกิดวารสารแบบเปิดกว้างที่มีคุณภาพและมีค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ที่เหมาะสม
  4. การพัฒนาแพลตฟอร์มการเผยแพร่งานวิจัยแบบเปิดกว้างที่ดำเนินการโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้ กับการลดทอนอุปสรรคทางการเงิน นับเป็นความท้าทายที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัย ในการสนับสนุนรูปแบบการตีพิมพ์งานวิจัยแบบเปิดกว้างที่เข้าถึงได้ เป็นธรรม และยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญ ในการปลดล็อกศักยภาพของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก และนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

ข้อดี ข้อเสีย
เข้าถึงได้ง่าย ค่าใช้จ่ายสูง
เผยแพร่เร็ว ความเหลื่อมล้ำ

Fun Fact: ทราบหรือไม่ว่า บทความวิจัยแบบเปิดกว้างมักมีคนอ่านมากกว่าบทความวิจัยแบบดั้งเดิมถึง 69%

#OpenAccess #งานวิจัย

บทความน่าสนใจ

บทความยอดนิยมตลอดกาล

บทความที่อยู่ในกระแส