"ตัวร้อน" หรือ "เป็นไข้" อาการที่คุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว อาการที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่อย่ามองข้าม เพราะเบื้องหลังของอาการตัวร้อน อาจซ่อนไปด้วยสาเหตุที่ไม่ธรรมดา และอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยจากร่างกายที่กำลังบอกอะไรบางอย่างก็เป็นได้
อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงเรียกว่า "ตัวร้อน"
โดยทั่วไปแล้ว อุณหภูมิร่างกายของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส แต่หากวัดอุณหภูมิร่างกายแล้วสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ถือว่ามีไข้ ซึ่งไข้สามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ตามระดับอุณหภูมิ ดังนี้
ระดับความร้อน | อุณหภูมิร่างกาย |
---|---|
ไข้ต่ำ | 37.5-38.0 องศาเซลเซียส |
ไข้ปานกลาง | 38.1-39.0 องศาเซลเซียส |
ไข้สูง | 39.1-40.0 องศาเซลเซียส |
ไข้สูงมาก | มากกว่า 40.0 องศาเซลเซียส |
สาเหตุของอาการตัวร้อน
อาการตัวร้อนไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เป็นผลมาจากสาเหตุหลายประการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก อาหารเป็นพิษ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีก เช่น
- การได้รับวัคซีนบางชนิด
- การเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้แพ้
- สภาพอากาศที่ร้อนจัด
อาการที่บ่งบอกว่า "ตัวร้อน" เกินกว่าจะปล่อยผ่าน
หากมีอาการตัวร้อน ร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- ไข้สูงมากและเป็นเวลานานเกิน 3 วัน
- หายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก
- ซึม ไม่รู้สึกตัว
- ชักเกร็ง
- มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
- ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง
- อาเจียน ท้องเสียอย่างรุนแรง
- ปวดเมื่อยตามข้อ
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีไข้
- ดื่มน้ำเปล่ามากๆ
- เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ
- นอนพักผ่อนในที่อากาศถ่ายเทสะดวก
- รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค Reyes syndrome ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ยากแต่ร้ายแรงได้
อาการตัวร้อนเป็นสัญญาณเตือนภัยจากร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม การดูแลตัวเองเบื้องต้น และการไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ จะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
#สุขภาพ #ไข้ #ตัวร้อน #ดูแลตัวเอง