ในปี 2023 โลกได้เห็นผู้นำหญิงที่โดดเด่นหลายคน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของฮอนดูรัส หรือ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอิตาลี ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการยอมรับศักยภาพของสตรีในเวทีการเมืองระดับโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีผู้นำประเทศเป็นผู้หญิง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและอุปสรรคที่สตรีต้องเผชิญในเส้นทางสู่ตำแหน่งผู้นำ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขาดแคลนผู้นำหญิง
การที่ยังมีหลายประเทศทั่วโลกไม่เคยมีผู้นำหญิงนั้น เกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ บรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก ซึ่งมักจำกัดบทบาทของผู้หญิงไว้ในบ้าน นอกจากนี้ อุปสรรคทางการเมือง เช่น การขาดการสนับสนุนจากพรรคการเมือง และการเลือกปฏิบัติทางเพศในกระบวนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมไปถึงความรุนแรงทางเพศในทางการเมือง ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางไม่ให้ผู้หญิงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำได้
สถานการณ์ทั่วโลกและภูมิภาค
ข้อมูลจากสหประชาชาติระบุว่า ณ เดือนมกราคม 2566 มีเพียง 31 ประเทศทั่วโลกที่มีประมุขแห่งรัฐเป็นผู้หญิง และมีเพียง 28 ประเทศที่มีหัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้หญิง ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ มีจำนวนประเทศที่ไม่เคยมีผู้นำหญิงมากที่สุด ตามมาด้วยภูมิภาคโอเชียเนีย แคริบเบียน และเอเชียกลาง ในขณะที่ยุโรปและอเมริกาเหนือ มีจำนวนประเทศที่ไม่เคยมีผู้นำหญิงน้อยที่สุด
ผลกระทบของการขาดผู้นำหญิง
การขาดผู้นำหญิงส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลที่มีความหลากหลายทางเพศ มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับนโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน ดังนั้น การเพิ่มจำนวนผู้นำหญิงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืนอีกด้วย
ความหวังและอนาคต
แม้ว่าเส้นทางสู่ตำแหน่งผู้นำของผู้หญิงจะยังคงมีความท้าทาย แต่ก็มีความหวังและความคืบหน้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก การเคลื่อนไหวทางสังคม การรณรงค์เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ ล้วนมีส่วนช่วยผลักดันให้ผู้หญิงมีบทบาทในเวทีการเมืองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจากการปลูกฝังค่านิยมเรื่องความเท่าเทียมทางเพศตั้งแต่ในระดับครอบครัว ระบบการศึกษา และสังคมโดยรวม
#ความเท่าเทียมทางเพศ #ผู้นำหญิง
บทความ
